ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมธุรกิจ
กลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์การตลาด
ของธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศ (Outbound Tour
Operator)
นิสิตภาควิชาศิลปาชีพ กลุ่มที่ 3 ปีการศึกษา 2558
คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บทคัดย่อ
การลงทุนธุรกิจนำเที่ยวไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้น
ปรับปรุง พัฒนาหรือขยายธุรกิจ ผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องประมวลและวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจขององค์การเพื่อวิเคราะห์ความเป็นไปได้
โอกาส อุปสรรค และศักยภาพขององค์การในการดำเนินธุรกิจ
องค์การจะประสบความสำเร็จทางธุรกิจได้ก็ต่อเมื่อสามารถปรับสิ่งแวดล้อมภายในให้ทันต่อสถานการณ์และแนวโน้มภายนอก
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์สิ่งแวดล้อมธุรกิจ
กลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศ(Outbound Tour
Operator)
เก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์กับผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศ 3 บริษัท ได้แก่
บริษัท Diva Vacation จำกัด
ตัวอย่างเช่น บริษัท Grazie Travel จำกัด และบริษัท Dream
Come Tour จำกัดและจากเอกสาร ตำรา และแหล่งข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
โดยศึกษาในเรื่อง 1) สิ่งแวดล้อมของธุรกิจและกลยุทธ์ในภาพรวม 2)
สิ่งแวดล้อมธุรกิจที่มีผลต่อการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจขององค์การ 3) กลยุทธ์ธุรกิจ
และกลยุทธ์การตลาดขององค์การและ4) ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมธุรกิจ
กลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์การตลาด จากการศึกษาพบว่า
ธุรกิจนำเที่ยวจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ
ทั้งภายในและภายนอกถือว่าเป็นขั้นตอนเริ่มต้นของการทำธุรกิจนำเที่ยว
หากเริ่มต้นได้ดี ก็จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เพราะธุรกิจนำเที่ยวนั้นมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ต่างๆมาก
ผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เหล่านั้น อีกทั้ง
องค์การสามารถนำผลของการวิเคราะห์ไปใช้ในการกำหนดกลยุทธ์และแผนงานด้านต่างๆขององค์การต่อไปอีกด้วย
เช่น กลยุทธ์ระดับองค์การ กลยุทธ์ระดับธุรกิจ และกลยุทธ์ระดับหน้าที่
ในที่นี้คือกลยุทธ์ทางการตลาด จะเห็นได้ว่าทุกขั้นตอนมีความสัมพันธ์กัน
ดังนั้นผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมธุรกิจเป็นอย่างมาก
เพราะสิ่งแวดล้อมธุรกิจนั้นเป็นตัวบอก จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของธุรกิจ
รวมทั้งเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์ต่างๆที่เหมาะสมแก่ธุรกิจอีกด้วย
คำสำคัญ: สิ่งแวดล้อมธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศ, กลยุทธ์ระดับองค์การ, กลยุทธ์ระดับธุรกิจ, กลยุทธ์ระดับหน้าที่, กลยุทธ์การตลาด, ประเภทของธุรกิจนำเที่ยว, กลุ่มเป้าหมาย
รูปแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัทจัดนำเที่ยวออกนอกประเทศ
______________________________________________
แนวคิดเกี่ยวกับการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมทางธุรกิจ(Business Environment) ประกอบไปด้วย
1.1) สิ่งแวดล้อมภายใน (Internal Environment) หมายถึง
ปัจจัยหรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นภายในองค์การและมีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์การ
ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์การสามารถบริหารและควบคุมได้ (Controllable Factors) ผู้บริหารจึงจำเป็นต้องจัดการและควบคุมสิ่งแวดล้อมภายในให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเพื่อสร้างความคล่องตัวในการบริหารงานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
สิ่งแวดล้อมภายในสำหรับธุรกิจนำเที่ยวประกอบด้วย
1.1.1) ความสามารถในการจัดการของผู้บริหาร
จะมีมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับกลุ่มคน 3 กลุ่ม คือ เจ้าของกิจการ ผู้ถือหุ้น
และคณะกรรมการบริหาร
1.1.2) ภาวะการเงิน (Financial
Status) เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญของผู้บริหารองค์การ
ผู้ที่จะร่วมลงทุน ผู้ที่จะซื้อหุ้น
และผู้ให้กู้ยืมเงินใช้ในการประเมินศักยภาพในการดำเนินธุรกิจขององค์การ
หากผู้บริหารสามารถจัดหาและบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพก็จะทำให้องค์การมีความคล่องตัวทางการเงิน
1.1.3) บุคลากรขององค์การโดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรที่ต้องติดต่อพบปะกับลูกค้าโดยตรง
(Customer
Contact Employee: CCE) เป็นปัจจัยสำคัญมากเพราะเป็นผู้ผลิตบริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ให้แก่องค์การ
1.1.4) วัฒนธรรมขององค์การ คือ
ค่านิยมและความเชื่อที่มีร่วมกันและเกิดขึ้นในองค์การอย่างเป็นระบบ
วัฒนธรรมองค์การถูกนำมาใช้เป็นแนวทางในการกำหนดพฤติกรรมของคนในองค์การ
วัฒนธรรมองค์การจึงเป็นเสมือน “บุคลิกภาพ”
หรือ “จิตวิญญาณ” ขององค์การ
1.1.5) การวิจัย (Research) คือ การรวบรวม ศึกษา และวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องหรือมีอิทธิพลต่อการดำเนินธุรกิจและการตลาดขององค์การ
1.1.6) ความสามารถในการผลิตและการดำเนินงานสำหรับธุรกิจนำเที่ยวจะเกิดขึ้นได้เมื่อสิ่งแวดล้อมภายใน
5 ประการข้างต้นมีความสัมพันธ์และส่งเสริมกัน
1.1.7) การตลาด (Marketing) สำหรับธุรกิจนำเที่ยวประกอบด้วย การกำหนดตลาดเป้าหมาย
การวิเคราะห์ความต้องการของคลาดเป้าหมาย การวางแผนการตลาด การกำหนดกลยุทธ์
และส่วนประสมการตลาดซึ่งล้วนเป็นปัจจัยหรือกิจกรรมที่องค์การสามารถจัดการและควบคุมได้
1.
2) สิ่งแวดล้อมภายนอก (External Environment) คือ
ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายนอกองค์การ (External Factors) ซึ่งองค์การไม่สามารถควบคุมหรือจัดการได้
แต่กลับมีอิทธิพลอย่างมากต่อการดำเนินธุรกิจขององค์การ
ผู้บริหารองค์การจึงจำเป็นต้องติดตามและวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมภายนอกอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
เพื่อจะได้ปรับสิ่งแวดล้อมภายในให้ทันต่อสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมภายนอกแบ่งเป็น 2
ส่วน คือ
1.2.1)
สิ่งแวดล้อมทั่วไป หรือ สิ่งแวดล้อมมหภาค (Macro
Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมหรือการจัดการขององค์การโดยสิ้นเชิง
และมีอิทธิพลต่อการดำเนินงานขององค์การในระยะยาว ประกอบด้วย
1.2.1.1) สิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์ (Demographic)หมายถึง
องค์ประกอบและลักษณะต่างๆ ของประชากรแต่ละพื้นที่
ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดจำนวน ค่านิยม ความต้องการ พฤติกรรมการซื้อ
พฤติกรรมการบริโภค และความสามารถในการซื้อของตลาด (นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย, 2557:
75) ซึ่งหากสิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์เกิดการเปลี่ยนแปลง
องค์การธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศ ควรมีการปรับกลยุทธ์ให้มีความเหมาะสมกับกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น จากบทความ แนวโน้มการเติบโตการท่องเที่ยวโลก
กล่าวถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวของโลก จากการสำรวจของ TAT ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับประชากรศาสตร์
ตัวอย่างเช่น
·
กลุ่มตลาดท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง ( Rising Star) คือ กลุ่มหนุ่มสาว (Young travelers) อายุ 15-34
ปี มีแนวโน้มการเติบโตร้อยละ 5% ส่วนวัยกลางคน
อายุตั้งแต่ 35-54 ปี มีแนวโน้มการเติบโต 5% ส่วนกลุ่มคนสูงอายุ อาย 55 ปี ขึ้นไปมีการเติบโตน้อย
ประมาณ 1%
·
กลุ่มชนชั้นระดับกลาง(Middle
Class) : ประมาณการว่า ในปี 2023 กลุ่มชนชั้นระดับกลางจะมีอัตราการเติบโตเป็น
2 เท่าของปัจจุบัน และการท่องเที่ยวได้กลายเป็นวิถีชีวิตของกลุ่มชนชั้นระดับกลาง(
middle class) เพิ่มมากขึ้น
1.2.1.2)
สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (Economics) เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดอำนาจการซื้อของตลาด
ซึ่งขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของรายได้ที่แท้จริง ภาวะการออม ภาวะหนี้สิน
และการเปลี่ยนแปลงรูปแบบค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในแต่ละสังคม (นุชนารถ
รัตนสุวงศ์ชัย, 2557: 76) ตัวอย่างเช่น จาก บทความ สถานการณ์การท่องเที่ยวตลาดต่างประเทศ
ไตรมาสที่ 1 ปี 2557
ของ TATวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในกลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาที่กินเวลาหลายปี
รวมถึงวิกฤตการณ์เศรษฐกิจไทย ที่ส่งผลมาจากวิกฤตของเศรษฐกิจโลกอีกที
ทำให้คนไทยมีรายได้น้อยลง และออมมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายการเที่ยวลง
(ร้อยละ 17) พฤติกรรมการใช้จ่ายของคนไทย
3 ใน 4 พบว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่าย
และตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวออกนอกประเทศน้อยลง
1.2.1.3)
สิ่งแวดล้อมทางการเมือง (Politics) สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศของทั้งตลาดเป้าหมายและของประเทศที่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวตั้งอยู่
ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของตลาด
หากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไม่สงบก็จะทำให้ตลาดตัดสินใจไม่เดินทางท่องเที่ยว
ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญของธุรกิจนำเที่ยว ในทางตรงกันข้าม หากสถานการณ์การเมืองมั่งคงก็จะส่งเสริมให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวซึ่งเป็นโอกาสให้กับธุรกิจท่องเที่ยว
นอกจากสิ่งแวดล้อมการเมืองภายในประเทศแล้ว
การเมืองระหว่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเมืองระหว่างประเทศไม่ว่าเชิงลบหรือเชิงบวก (นุชนารถ
รัตนสุวงศ์ชัย, 2557: 77) ตัวอย่างเช่น
การเสียประโยชน์จากสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวไทย
นิยมเดินทางท่องเที่ยวน้อยลง จากการสำรวจของ TAT พบว่าปัญหาการเมืองในประเทศ ส่งผลให้คนไทยส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่าย
1.2.1.4) เทคโนโลยี (Technology)
เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อการรับรู้และความต้องการในการซื้อของลูกค้าเป็นอย่างมาก
การที่เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมาก
จึงส่งผลให้เกิดการค้นหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตในเวลาปัจจุบัน ณ ขณะนั้น (Real
Time) นักท่องเที่ยวและลูกค้าจึงสามารถสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และราคาการเดินทางท่องเที่ยวได้อย่างง่ายดาย
และเปรียบเทียบข้อมูลด้านผลิตภัณฑ์และราคาขององค์การต่างๆ นอกจากนี้
เกิดเทคโนโลยีการสำรองผลิตภัณฑ์ผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นระบบสากลทั่วโลกหรือระบบการจัดจำหน่ายเบ็ดเสร็จ
จึงส่งเสริมให้ตลาดเป้าหมายสำรองผลิตภัณฑ์ผ่านอินเตอร์เน็ตอีกทั้งในปัจจุบันเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นใหม่ยังช่วยส่งเสริมให้องค์การสามารถเข้าถึงตลาดเป้าหมายได้
(นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย, 2557: 77) ตัวอย่างเช่น
แอพพลิเคชั่นสำหรับนักเดินทาง เช่น Airbnb, XE Currency, Wi-Fi Finder ฯลฯ ซึ่งแอพพลิเคชั้นเหล่านี้จำทำให้การเดินทางของนักท่องเที่ยวง่ายขึ้น
ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องพึ่งพาบริษัททัวร์อีกต่อไป (กนกวรรณ, ม.ป.ป: 28-29)
1.2.1.5)
กฎหมายเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์การซึ่งอาจก่อให้เกิดโอกาสหรืออุปสรรคในการดำเนินธุรกิจได้
หากรัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐออกกฎหมายหรือระเบียบที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้องค์การภาคเอกชนในการดำเนินธุรกิจ
กฎหมายเหล่านี้ก็จะสร้างโอกาสให้ธุรกิจ ในทางตรงกันข้าม
หากรัฐบาลออกกฎหมายใหม่หรือปรับกฎหมายเก่าที่ควบคุมการดำเนินงานขององค์การภาคเอกชนอย่างเข้มงวด
ก็จะกลายเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ (นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย, 2557: 78) ตัวอย่างเช่น จากบทความ ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวไทย
: คาดกระตุ้นตลาดทัวร์ญี่ปุ่นของไทยปี2556...โตเกือบร้อยละ 50 (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย :2556)
กล่าวถึง มาตรการยกเว้นวีซ่าประเภทท่องเที่ยวระยะสั้นให้กับนักท่องเที่ยวคนไทยที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น
นอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นให้แก่นักท่องเที่ยวคนไทยแล้ว
ยังลดค่าใช้จ่ายในการทำวีซ่า (ค่าธรรมเนียมปกติคนละ1,655 บาท)
รวมทั้งยังส่งเสริมการขยายตัวของนักท่องเที่ยวคนไทยกลุ่มจัดการเดินทางท่องเที่ยวเอง
(FIT) เพราะจากความยุ่งยากและความเข้มงวดในการขอวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่น
ทำให้ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวคนไทยจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นกับบริษัทนำเที่ยว
ซึ่งจะอำนวยความสะดวกในเรื่องการขอวีซ่าให้
1.2.1.6) สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical
Environment) ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเที่ยว ประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม
4 ด้าน คือ การเพิ่มขึ้นของมลภาวะ
ความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยว ภัยธรรมชาติ การเพิ่มขึ้นของต้นทุนพลังงาน
(นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย, 2557: 79) ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์สีนามิที่ญี่ปุ่น
ส่งผลให้ปริมาณนักท่องเที่ยวทั้งภายใน และ ภายนอกประเทศลดลง
ส่งผลให้จำนวนการจองห้องพักเพื่อการท่องเที่ยวลดลงกว่าร้อยละ50 อันเนื่องจากความวิตกจากวิกฤติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ
และ ส่งผลต่อการลดจำนวนพนักงานของสถานประกอบการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวหลายแห่ง
(หยาดน้ำค้าง :2556)
1.2.1.7)
สิ่งแวดล้อมทางสังคมและวัฒนธรรม (Society and Culture) การดำเนินธุรกิจนำเที่ยวต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดข้อกำหนดหรือกติกาทางสังคม
เพราะสังคมและวัฒนธรรมมีผลต่อธุรกิจนำเที่ยวในสองมิติ คือ มิติแรก
สังคมและวัฒนธรรมตลาดเป้าหมายเป็นปัจจัยที่มีผลต่อทัศนคติ ค่านิยม ความต้องการ
พฤติกรรมการซื้อ และพฤติกรรมการบริโภคหรือการท่องเที่ยวของลูกค้า
ในอีกมิติหนึ่งคือ สังคมและวัฒนธรรมของชุมชนแหล่งท่องเที่ยวหรือจุดหมายปลายทางมีอิทธิพลต่อทัศนคติและการยอมรับต่อผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในชุมชน
ดังนั้น
ผู้บริหารต้องกำหนดกลยุทธ์ขององค์การและส่วนประสมทางการตลาดที่สอดคล้องกับสังคมและวัฒนธรรมของตลาดเป้าหมายและชุมชนแหล่งท่องเที่ยว
(นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย, 2557: 79)
1.2.2) สิ่งแวดล้อมจุลภาค (Micro Environment) คือสิ่งแวดล้อมภายนอกองค์การ
และมีอิทธิพลโดยตรงต่อการดำเนินธุรกิจขององค์การ ประกอบด้วย
ผู้จัดส่งปัจจัยการผลิต (Supplier) ตัวกลาง (Intermediary)
ลูกค้าหรือตลาด (Customer) และคู่แข่งขัน (Competitor)
สิ่งแวดล้อมภายนอกทั้งสองส่วนก่อให้เกิดโอกาสหรือข้อได้เปรียบทางธุรกิจ
(Opportunity) และในทางกลับกัน อาจสร้างอุปสรรคหรือปัญหา (Threat)
ให้แก่องค์การได้ (นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย,
2558: 74-81) ดังนั้น
องค์การธุรกิจนำเที่ยวจึงควรมีการปรับผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวและปรับกลยุทธ์ขององค์การ
เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มนักท่องเที่ยว
สิ่งแวดล้อมธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศในประเทศไทยในภาพรวม
จากการวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมธุรกิจนำเที่ยวเข้าในประเทศในภาพรวมของโลกดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าจากปัจจัยต่างๆที่กล่าวมานั้นล้วนส่งผลต่อธุรกิจนำเที่ยวในประเทศไทย
และความต้องการท่องเที่ยวออกนอกประเทศของนักท่องเที่ยวซึ่งสามารถวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศในประเทศไทยในภาพรวม
ได้ดังดังนี้
จุดแข็ง
(Strengths)
ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมมาสู่อุตสาหกรรมและบริการ
ทำให้ประเทศไทยก้าวเป็นประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง
ประชาชนมีรายได้ประชาชาติต่อหัว (GNI per capita) เพิ่มจาก
710 ดอลลาร์สหรัฐใน ค.ศ. 1980 มาเป็น 4,150 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2010 และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวอาจใช้ประโยชน์จากการเติบโตทางสภาพเศรษฐกิจของคนไทย
ที่มีรายได้เพิ่มมากขึ้นนี้ ในการขยายธุรกิจให้เติบโตได้มากยิ่งขึ้น
จุดอ่อน (Weakness)
1) จุดอ่อนด้านขาดความรู้และทักษะ จากบทความ การวิเคราะห์ประเด็นปัญหาและโอกาสจากการเปิดเสรีบริการท่องเที่ยว
ในรายงานเรื่อง
โครงการจัดทำแผนพัฒนาบริการท่องเที่ยวเพื่อรองรับการเปิดเสรีบริการท่องเที่ยว ได้กล่าวถึง
ปัญหาสำคัญของผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยคือการขาดความรู้และทักษะที่จำเป็นในการ
ดำเนินธุรกิจและการแข่งขันในระดับสากล ความรู้ความเชี่ยวชาญและทักษะที่ผู้ประกอบการยังขาด
(วิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2555: 102-104) ดังต่อไปนี้
·
ด้านการบริหารจัดการ เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวออกนอกประเทศนั้น
ส่วนมากสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างง่าย ไม่จำเป็นต้องใช้บุคลากรเยอะ
ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้ มักขาดความรู้ในด้านการจัดการหรือการบริหารงานที่มีระบบ
ในการเตรียมความพร้อมและเพิ่มพูนศักยภาพในการแข่งขัน ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศจำเป็นต้องพัฒนาตนเอง
ปรับตนเองให้พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยอาศัยการบริหารจัดการองค์กรที่มีศักยภาพ
·
ด้านการตลาด เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวออกนอกประเทศนั้น
จำเป็นต้องทำการตลาดเป็นอย่างมาก เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเกิดความสนใจ
และตัดสินใจเลือกใช้บริการบริษัทของตน แต่หากผู้ประกอบการไม่มีความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับการทำตลาดก็จะแข่งขันไม่ได้
ซึ่งในโลกยุคโลกาภิวัตน์ภายใต้แรงผลักดันจากการเปิดเสรีบริการท่องเที่ยวนี้ทำให้ทุกประเทศต้องมีการแข่งขัน
เพื่อช่วงชิงตลาด ถ้าไม่สามารถทำการตลาดเชิงรุกได้ก็จะทำให้เสียโอกาส
และถ้าใช้แต่ความคิดเดิม ๆ ก็จะตามโลกไม่ทัน
·
ด้านภาษา ความรู้ด้านภาษาต่างประเทศเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ประกอบการ
ธุรกิจนำเที่ยวออกนอกประเทศของไทย โดยเพาะอย่างยิ่งธุรกิจบริการท่องเที่ยวที่ต้องติดต่อกับบริษัท
Land
ที่เป็นชาวต่างชาติ นอกเหนือจาก ภาษาอังกฤษแล้ว
ผู้ประกอบการควรสามารถสื่อสารภาษาที่สาม ได้แก่ จีน รัสเซีย เกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
การขาดความรู้ด้านภาษาส่งผลให้องค์การ
·
ด้านเทคโนโลยี บุคลกรจำนวนมากยังขาดความรู้
และทักษะด้านเทคโนโลยี การสื่อสารและสารสนเทศ (ICT) โดยเฉพาะการสร้างพื้นฐานเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ซึ่งจะช่วยในการ ประชาสัมพันธ์และการตลาดของธุรกิจไทยเพื่อให้สามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติได้
·
ด้านนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
การขาดความรู้ความสามารถด้านนี้ทำให้ ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวออกนอกประเทศไม่สามารถพัฒนาสินค้าและบริการของตนให้มีความแตกต่าง
เพื่อเป็นจุดเด่นหรือจุดขายให้กับบริการของตน ฉะนั้นการที่จะเป็นผู้ประสบความสำเร็จบนเวทีตลาดโลกได้
จึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ
2) จุดอ่อนด้านคุณภาพการบริการ จากการที่ธุรกิจท่องเที่ยวออกนอกประเทศกำลังพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
บริษัทน้อยใหญ่กำลังแข่งขันกันพัฒนาโปรแกรมทัวร์ชนิดลด แลก แจก แถม
เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า แต่ในทางกลับกันตลาดท่องเที่ยวออกนอกประเทศกลับประสบปัญหาด้อยคุณภาพด้านการบริการ
จากสถิติการสอบถามและร้องเรียนปัญหาด้านการท่องเที่ยวในเดือน
กันยายน ปี 2558
มีจำนวนทั้งสิ้น 252 กรณี ในจำนวนนี้
เป็นการร้องเรียนด้านการท่องเที่ยว 45 กรณี นอกจากนี้ พบว่า
จำนวนการสอบถามและร้องเรียนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
โดยเฉพาะเรื่องแหล่งท่องเที่ยวและการซื้อของจากร้านค้าถือเป็นปัญหาอันดับต้นๆ ปัญหาการร้องเรียนที่พบบ่อย
ได้แก่ บริษัททัวร์บางส่วนมีการประชาสัมพันธ์ข้อมูลเกินขอบเขต ข้อมูลเป็นเท็จ
ไกด์นำเที่ยวหลายรายไม่มีบัตรไกด์ มีการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมทัวร์ตามอำเภอใจ
และปล่อยทิ้งนักท่องเที่ยวระหว่างทาง ทางฝ่ายประเทศไทยเองควรเร่งตรวจสอบปัญหาข้อร้องเรียนและปราบปรามพฤติกรรมการหลอกหลวงนักท่องเที่ยว
เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์และคุณภาพการบริการ (นิราวรรณ จันทร์วิวัฒนากูล, 2558)
โอกาส
(Opportunities)
ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในสิ้นปี 2558การเปิดเสรีบริการด้านการท่องเที่ยว ทำให้หลายประเทศในอาเซียนต่างตื่นตัวและเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับกับโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนในการเป็นตลาดหรือฐานการผลิตเดียวกัน สำหรับโอกาสของธุรกิจนำเที่ยวออกต่างประเทศในปัจจุบันการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวสามารถลงทุนเปิดสาขาบริษัทนำเที่ยวในกลุ่มประเทศสมาชิกได้มากขึ้นแต่ประเด็นของสัดส่วนการถือหุ้นของชาติสมาคมอาเซียนยังมีข้อจำกัด และเงื่อนไขบางประการ ได้แก่ ประเทศมาเลเซียอนุญาตให้ชาวต่างชาติร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวมาเลเซียก่อตั้ง บริษัทนำเที่ยว โดยสามารถถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 51 ขณะที่ประเทศสิงคโปร์และเวียดนามไม่มีข้อกำหนดใดๆ สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการประกอบธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวอาจใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าและการบริการจากการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศไทย ในการขยายธุรกิจหรือร่วมเป็นพันธมิตรกับธุรกิจท้องถิ่นที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองที่มากขึ้น
ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในสิ้นปี 2558การเปิดเสรีบริการด้านการท่องเที่ยว ทำให้หลายประเทศในอาเซียนต่างตื่นตัวและเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรองรับกับโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนในการเป็นตลาดหรือฐานการผลิตเดียวกัน สำหรับโอกาสของธุรกิจนำเที่ยวออกต่างประเทศในปัจจุบันการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวสามารถลงทุนเปิดสาขาบริษัทนำเที่ยวในกลุ่มประเทศสมาชิกได้มากขึ้นแต่ประเด็นของสัดส่วนการถือหุ้นของชาติสมาคมอาเซียนยังมีข้อจำกัด และเงื่อนไขบางประการ ได้แก่ ประเทศมาเลเซียอนุญาตให้ชาวต่างชาติร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวมาเลเซียก่อตั้ง บริษัทนำเที่ยว โดยสามารถถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 51 ขณะที่ประเทศสิงคโปร์และเวียดนามไม่มีข้อกำหนดใดๆ สำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการประกอบธุรกิจนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวอาจใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้าและการบริการจากการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศไทย ในการขยายธุรกิจหรือร่วมเป็นพันธมิตรกับธุรกิจท้องถิ่นที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองที่มากขึ้น
อุปสรรค
(Threats)
เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลกระทบเชิงลบต่อการท่องเที่ยว เนื่องจากเมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น จึงทำให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
รวมถึงตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป ทำให้ส่งผลกระทบต่อบริษัทนำเที่ยวเป็นอย่างมาก
คู่แข่ง
ในปัจจุบันมีบริษัทนำเที่ยวออกนอกประเทศจำนวนมากขึ้น
เนื่องจากข้อกฎหมายเอื้อต่อการจัดตั้งบริษัทนำเที่ยว อีกทั้งพฤติกรรมของคนในปัจจุบันนิยมเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น
และช่องทางในการที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายก็สะดวกมากยิ่งขึ้นกว่าในอดีต
สิ่งเหล่านี้จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะจัดตั้งบริษัทนำเที่ยว
โดยจำนวนผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวประเภท outbound มีจำนวนทั้งสิ้น
3,243 ราย (ฐานข้อมูลผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์, 2558)
และจากการที่มีบริษัทนำเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก
ทำให้บางบริษัทมีการใช้กลยุทธ์ตั้งราคาถูก (หรือมีการขายตัดราคากัน)
จึงทำให้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อบริษัทนำเที่ยวอื่นๆด้วยเช่นกัน
กลยุทธ์ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของบริษัทต่างๆในธุรกิจนำเที่ยวหรือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง
กลยุทธ์ (Strategy) หมายถึง
“แบบแผนสำคัญเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบันและที่ได้วางแผนไว้
ตลอดจนการจัดสรรทรัพยากรและปฏิกิริยาโต้ตอบต่อกันระหว่างบริษัทกับตลาด
คู่แข่งและปัจจัยต่างๆในภาวะแวดล้อม” (Oliver C.Walker,Jr. อ้างถึงใน
อดุลย์ จาตุรงคกุล, 2544. กลยุทธ์การตลาด : 7)
กลยุทธ์ธุรกิจ แบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ
ประกอบด้วย กลยุทธ์ระดับองค์การ (Corporate Strategy) กลยุทธ์ระดับหน่วยธุรกิจ
(Business Strategy) และ กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional
Strategy) (นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย, 2558.)
จากงานเขียน “ระดับของกลยุทธ์
และการกำหนดจุดมุ่งหมายขององค์การ” ของอาจารย์นายแพทย์ชูชัย ศรชำนิ
และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรางคณา
ผลประเสริฐได้อธิบายรายละเอียดของกลยุทธ์ระดับต่างๆ ไว้ดังนี้
1) กลยุทธ์ระดับองค์การ
(Corporate
Strategy)
เป็นตัวกำหนดทิศทางโดยรวมขององค์การและบทบาทของแต่ละหน่วยธุรกิจ
จึงเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานขององค์กร
เป็นกลยุทธ์ที่ตอบสนองวัตถุประสงค์หลักในภาพรวมขององค์กร โดยทั่วไปกลยุทธ์ระกับองค์การแบ่งออกเป็น
3 ประเภท ดังต่อไปนี้
กลยุทธ์การเจริญเติบโต
(Growth
Strategy) เมื่อการดำเนินงานขององค์การบรรลุผลสำเร็จมาได้ในระดับหนึ่ง
ผู้บริหารจะพิจารณาใช้กลยุทธ์นี้ในการดำเนินงานเพื่อสร้างการเจริญเติบโตให้ธุรกิจ
โดยกลยุทธ์การเจริญเติบโตจะมีอยู่ 3 ลักษณะหลักดังต่อไปนี้
กลยุทธ์มุ่งเน้นการเติบโตธุรกิจเฉพาะอย่าง
(Concentration
Growth Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่องค์การจะให้ความสำคัญกับการดำเนินงานที่ตนชำนาญในธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งเพียงอย่างเดียว
องค์การที่มุ่งเน้นกลยุทธ์นี้มีสายผลิตภัณฑ์เดียว ตลาดเดียว และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
ตัวอย่างเช่น บริษัท Diva vacation จำกัด
เน้นการจัดนำเที่ยวออกนอกประเทศไปยังทวีปยุโรป และ บริษัท drean come tour จำกัด ที่มุ่งเน้นการเติบโตธุรกิจเฉพาะอย่างโดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์
โดยการเพิ่มเส้นทางการท่องเที่ยว เนื่องจากมีผู้สนใจการจัดทัวร์แบบนี้เป็นจำนวนมาก
ทางบริษัทจึงพัฒนาเส้นทางการขายทัวร์ไปที่ ทวีปอเมริกาด้วย
· กลยุทธ์การเติบโตแบบรวมตัว
(Integration
Growth Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่ขยายการเติบโตสู่ธุรกิจคู่แข่ง หรือ
ธุรกิจของปัจจัยการผลิต
· กลยุทธ์มุ่งเน้นการเติบโตแบบกระจายธุรกิจ
(Diversification
Growth Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่องค์การกระจายการลงทุนไปในหลายธุรกิจ
สร้างความหลากหลายและความแตกต่างในการดำเนินงาน
ซึ่งอาจเกี่ยวพันหรือไม่เกี่ยวพันกับผลิตภัณฑ์เดิมขององค์การก็ได้
กลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพ (Stability
Strategy) องค์การที่มีความเจริญเติบโตระดับปานกลาง
อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมปานกลาง
มีความดึงดูดของอุตสาหกรรมปานกลาง และสภาพแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงน้อย
โดยกลยุทธ์การรักษาเสถียรภาพแบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์ ดังต่อไปนี้
· กลยุทธ์การยับยั้งหรือการดำเนินการด้วยความระมัดระวัง
(Pause
or Proceed with Caution Strategy) ภายหลังที่องค์การได้ใช้กลยุทธ์การเจริญเติบโตโดยการเพิ่มหน่วยธุรกิจ
อาจทำให้องค์การขาดทรัพยากรหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทีมีผลกระทบต่อการดำเนินงานขององค์การ
ดังนั้นองค์การจึงควรดำเนินการด้วยความระมัดระวังหรือยับยั้งการเจริญเติบโต
· กลยุทธ์การไม่เปลี่ยนแปลง
(No
Change Strategy) เป็นการดำเนินงานตามกลยุทธ์เดิม ไม่เปลี่ยนแปลง ตัวอย่างเช่น
บริษัท บริษัท GrazieTravel จำกัด
เนื่องจากสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจของโลกที่ส่งผลต่อธุรกิจ ทำให้ผู้บริหารตัดสินใจใช้กลยุทธ์นี้
· กลยุทธ์การทำกำไร
(Profit
Strategy) เป็นกลยุทธ์ที่องค์การพยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆลง
กลยุทธ์การตัดทอน (Retrenchment
Strategy) เป็นทางออกในการแก้ปัญหาขององค์การที่ไม่ประสบผลสำเร็จ
หรือสำหรับธุรกิจที่เข้าสู่ช่วงตกต่ำ โดยกลยุทธ์การตัดทอนแบ่งออกเป็น 4
กลยุทธ์ดังต่อไปนี้
· กลยุทธ์การฟื้นฟู
(Turnaround
Strategy) เป็นการดำเนินการแก้ปัญหาโดยพยายามลดค่าใช้จ่ายต่างๆลงและทำการปรับโครงสร้างองค์การ (Reengineering) ให้มีประสิทธิภาพการดำเนินงานในระยะยาว
· กลยุทธ์บริษัทเชลย
(Captive
Company Strategy) เป็นการดำเนินธุรกิจโดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ขององค์การให้แก่ลูกค้าเพียงรายเดียว
· กลยุทธ์การขายทิ้งหรือการถอนการลงทุน
(Sell-out
or Divestment Strategy) เป็นการดำเนินธุรกิจโดยการถอนการลงทุนธุรกิจที่มีความอ่อนแอหรือขายธุรกิจนั้นทิ้งไป
· กลยุทธ์การล้มละลายหรือการเลิกกิจการ
(Bankruptcy
or Liquidation Strategy) เป็นวิธีแก้ปัญหาสุดท้ายขององค์การที่ประสบความล้มเหลวในการดำเนินงาน
การเลิกดำเนินงานอาจเป็นหนทางที่จะทำให้ธุรกิจขาดทุนน้อยที่สุดและยังสามารถรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
2)
กลยุทธ์ระดับธุรกิจ (Business Unit Strategy) เป็นวิธีการเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งขันและการดำรงอยู่ได้ขององค์การอย่างยั่งยืน
กลยุทธ์แข่งขันทั่วไปของพอร์เตอร์(นัทธพงศ์
ประจักษ์จิตร์, 2552)
กลยุทธ์การแข่งขันที่ประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องอาศัยแหล่งที่มาของการได้เปรียบทางการแข่งขัน
ยิ่งได้เปรียบทางการแข่งขันเหนือคู่แข่งมากเท่าไรก็จะประสบความสำเร็จมากเท่านั้น
ไมเคิล พอตเตอร์
ได้พัฒนากลยุทธ์ทางการแข่งโดยยึดถือแนวความคิดทางด้านการตลาดที่สำคัญ 2 ประการ
รวมทั้งได้เสนอแนวทางที่จะให้เลือกปฏิบัติในแต่ละอย่างเอาไว้ด้วย คือ
แนวความคิดด้าน “ขอบข่ายของการแข่งขัน” เป้าหมายกว้าง หรือ เป้าหมายแคบ
และแนวความคิดการวางแผนด้าน “ความได้เปรียบทางการแข่งขัน”
การเป็นผู้นำด้านต้นทุนและการสร้างความแตกต่าง
· กลยุทธ์ความเป็นผู้นำด้านต้นทุนต่ำ
(Cost
Leadership Strategy) เป็นกลยุทธ์การแข่งขันขององค์กรที่มีตลาดเป้าหมายกว้าง
โดยอาศัยความสามารถของบริษัทซึ่งจะต้องทำให้ผลิตภัณฑ์และบริการมีต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่ง
และสามารถอยู่รอดในสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงได้โดยการสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงานนอกจากนี้ยังสามารถกีดกันการเข้าสู่อุตสาหกรรมของผู้เข้าตลาดรายใหม่ด้วย
· กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง
(Differentiation
Strategy) เป็นกลยุทธ์แข่งขันขององค์กรที่มีตลาดเป้าหมายกว้างโดยการสร้างมูลค่าด้วยการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์
หรือบริการให้มีลักษณะเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจากคู่แข่งขันในสายตาของลูกค้า
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้รับความพอใจ เช่น คุณภาพ
ตราผลิตภัณฑ์ บริการ เป็นต้น
การมีความแตกต่างที่โดดเด่นจะสร้างความภักดีของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์
· การมุ่งเน้นที่ต้นทุนต่ำ
(Focus Cost
Leadership Strategy)
เป็นการเลือกกลุ่มลูกค้าหรือตลาดขนาดเล็กที่บริษัทมีความพร้อม
ความชำนาญเป็นพิเศษและใช้กลยุทธ์ด้านการเป็นผู้นำด้านต้นทุนด้วยเหตุที่ขอบเขตการปฏิบัติงานแคบกว่า
จึงมีประสิทธิภาพในการประหยัดได้มากกว่าบริษัทที่ไม่มุ่งเน้นตลาดส่วนหนึ่งส่วนใดโดยเฉพาะ
และสามารถเชื่อถือได้ในราคาที่ถูกกว่าคู่แข่ง
· การมุ่งเน้นการสร้างความแตกต่าง
(Focused
Differentiation Strategy) เป็นการเลือกกลุ่มลูกค้าขนาดเล็กที่เหมาะสมที่สุดกับความรู้ความชำนาญของบริษัทเป็นตลาดเป้าหมาย
และเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีความแตกต่างจากคู่แข่งโดยมุ่งเน้นสนองความต้องการของตลาดจะเป็นการสร้างความภักดีในตราผลิตภัณฑ์
ของลูกค้าตลาดย่อยได้
และจะสามารถสร้างผลกำไรสูงให้แก่องค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
เนื่องจากองค์กรจะได้รับความน่าเชื่อถือจากลูกค้า มีฐานข้อมูลในการค้นคว้า
วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาดได้ดีกว่า (นัทธพงศ์
ประจักษ์จิตร์, 2552 : 15-16)
3) กลยุทธ์ระดับหน้าที่ (Functional
Strategy)
กลยุทธ์ที่ดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์องค์กร และกลยุทธ์ระดับธุรกิจ โดยจะให้ความสำคัญกับการบรรลุเป้าหมายของหน่วยธุรกิจหรือองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ
เช่น การตลาด การจัดสรรและพัฒนาบุคคล การผลิตและการดำเนินงาน (นัทธพงศ์
ประจักษ์จิตร์, 2552)
3.1) แนวคิดด้านส่วนประสมการตลาด (Marketing
mix หรือ 4Ps) (ปุณฑริกา แก้วเจียมวงศ์, 2551:
21)
· ผลิตภัณฑ์
(Product)
หมายถึง สิ่งที่เสนอขายโดยธุรกิจเพื่อสนองความต้องการ ตัวอย่างเช่น
บริษัท Grazie Travel จำกัด
ได้จัดทำโปรแกรมนำเที่ยวเฉพาะรายการที่มีคุณค่า
โดยมีการคัดสรรและเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ทั้งที่พัก อาหาร
และสายการบิน และ บริษัท Dream Come Tour จำกัด มีการจัดทำเฉพาะรายการท่องเที่ยวที่เน้นการเพิ่มคุณค่า
โดยมีการคัดสรรและเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ทั้งที่พัก อาหาร
และสายการบิน
· ราคา (Price) หมายถึง คุณค่าผลิตภัณฑ์ในรูปตัวเงิน ตัวอย่างเช่น บริษัท Grazie
Travel จำกัด เน้นราคาสูง เพราะลูกค้าเชื่อว่า ราคา
เป็นตัวแปรที่บ่งบอกคุณภาพ จึงไม่มีการใช้กลยุทธ์การลดราคาใดๆ
เพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า และ บริษัท Dream Come Tour จำกัด มีกลยุทธ์ในการตั้งราคาโดยเน้นราคาสูง
เพราะลูกค้าเชื่อว่า ราคา เป็นตัวแปรที่บ่งบอกคุณภาพ
จึงไม่มีการใช้กลยุทธ์การลดราคาใดๆ เพื่อดึงดูดความสนใจจากลูกค้า
· การจัดจำหน่าย
(Place
หรือ distribution) ประกอบด้วยช่องทางจัดจำหน่าย
คือ เส้นทางผลิตภัณฑ์ไปยังตลาด ตัวอย่างเช่น บริษัท Grazie Travel จำกัด ได้เลือกขายโปรแกรมนำเที่ยว ผ่าน Travel Agency เพราะสามารถลดต้นทุนในการทำการสื่อสารการตลาด เช่น การทำโฆษณาจากสื่อสิงพิมพ์ได้เป็นจำนวนมาก
และ บริษัท Dream Come Tour จำกัด ได้ใช้โอกาสทางด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร
จึงได้ใช้ช่องทางการขายโปรแกรมการท่องเที่ยวผ่านทางSocial Network คิดเป็น80% ของการขายทั้งหมด
เพราะสามารถลดต้นทุนในการทำการสื่อสารการตลาด และทำให้เข้าถึงลูกค้าได้ง่ายด้วย
เช่น การทำโฆษณาจากสื่อสิงพิมพ์ได้เป็นจำนวนมาก
·
การส่งเสริมการตลาด (Promotion) ประกอบด้วย การโฆษณา การขายโดยใช้พนักงาน การส่งเสริมการขาย
การให้ข่าวและการประชาสัมพันธ์ การตลาดทางตรง ตัวอย่างเช่น บริษัท Grazie
Travel จำกัด มีการให้ส่วนลดกับลูกค้าเดิมที่มีความซื่อสัตย์
เพราะเป็นการรักษาฐานลูกค้าเดิม
ทั้งนี้ยังสามารถเพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้ามีความภักดียิ่งขึ้น
และได้รับการตอบแทนด้วยการบอกต่อของลูกค้าได้เช่นกัน และ บริษัท Dream Come
Tour จำกัด
ได้จัดทำโปรโมชั่นทุกๆเดือนสำหรับลูกค้าที่ติดต่อซื้อโปรแกรมนำเที่ยวผ่านช่องทางออนไลน์ของบริษัท
เช่น
เวปไซต์และลูกค้าเก่าก็จะได้ส่วนลดในด้านต่างๆหากเลือกใช้บริการของทางบริษัทอีกครั้ง
3.2) แนวคิดกลยุทธ์การเติบโตด้านส่วนแบ่งการตลาด
(Ansoff’s Growth Strategy)(นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย,
2558.)
· Market
Penetration (การเจาะตลาด) รูปแบบนี้คือการขายผลิตภัณฑ์เดิมให้กับลูกค้าเดิมมากยิ่งขึ้น
องค์การอาจต้องใช้การลดราคา การตั้งราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่ง
การเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย
และการส่งเสริมการขายในการกระตุ้นให้ลูกค้าเดิมซื้อสินค้ามากขึ้น
· Market Development (พัฒนาตลาด) รูปแบบนี้คือขายผลิตภัณฑ์เดิมให้กับตลาดใหม่
ด้วยการโฆษณา การนำสินค้าส่งออก หาตลาดใหม่ไปยังภูมิภาคใหม่ๆ
จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายไปยังตลาดเป้าหมายใหม่ ให้รู้จักกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น
โอกาสในการซื้อก็จะมีเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้องค์การควรตั้งราคาต่ำในช่วงโอกาสพิเศษต่างๆเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
· Product
Development (พัฒนาผลิตภัณฑ์) รูปแบบนี้คือขายสินค้าใหม่ให้กับตลาดเดิม
องค์การต้องนำผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นขึ้นมาใหม่
ไปขายให้กับตลาดเดิมเพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง การโฆษณา หรือการส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ
สามารถทำให้เป้าหมายเดิมรู้จักกับผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ ตัวอย่างเช่น บริษัท Diva
Vacation จำกัด
เนื่องจากปัจจุบันองค์การได้มีการผูกขาดการใช้บริการสายการบินไทยในการใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง
ซึ่งสายการบินไทยได้ประสบปัญหา เริ่มปิดเส้นทางการบินในยุโรปบางเส้นทางลง เช่น
กรุงเทพฯเดินทางไปเมืองโรม ประเทศอีดาลี
ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงรายการนำเที่ยวในบางส่วนองค์การจึงได้ใช้กลยุทธ์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันปัจจัยภายนอกดังกล่าว
โดยการเพิ่มเส้นทางการท่องเที่ยวในรายการนำเที่ยวและการรักษาคุณภาพและมาตรฐานของทุกองค์ประกอบในรายการนำเที่ยวที่อยู่ภายใต้
concept "กินดี อยู่ดี บินการบินไทย"
·
Diversification (การเปลี่ยนตลาดและลูกค้า) รูปแบบนี้คือการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ให้กับตลาดใหม่
อาจไม่เกี่ยวกับธุรกิจเดิมก็ได้ องค์การต้องทำให้กลุ่มตลาดเป้าหมายใหม่รู้จักและซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่
และต้องเข้าถึงกลุ่มตลาดเป้าหมายได้อย่างทั่วถึง
3.3) แนวคิดกลยุทธ์ตราสินค้า กลยุทธ์ ตราสินค้า (branding
Strategy)
เป็นการสร้างส่วนแบ่งทางกาตลาด ทางอารมณ์ และจิตใจของผู้บริโภค
ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเป็นเจ้าของ “Position of Privilege” หรือตำแหน่งอันมีศักดิ์ศรีในใจผู้บริโภคอย่างถาวร และยาวนาน
รูปแบบที่หลากหลายของ Branding มีดังนี้ (นัทธพงศ์
ประจักษ์จิตร์, 2552:
24-26)
· Corporate
Branding ริเริ่มเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาของการที่มีธุรกิจทั้งขนาดเล็ก
และขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย และแข่งขันประชาสัมพันธ์ โฆษณาทางการตลาด
จนทำให้ยากต่อการสร้างจุดสังเกตที่แตกต่างของผลิตภัณฑ์ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภค
ประกอบกับต้นทุนของการสร้างความพร้อมของผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดที่สูงขึ้นกับผู้บริโภค
ประกอบกับต้นทุนการสร้างความพร้อมของผลิตภัณฑ์ใหม่ในตลาดใหม่ในตลาดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้องค์กรหันมาให้สนใจในการทำ Branding ให้กับองค์กร (Corporate
Branding) มากกว่าผลิตภัณฑ์ เนื่องจาก การมี Corporate
Brand ที่เข้มแข็งจะช่วยเพิ่มเติมคุณค่าให้กับการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของธุรกิจในแต่ละครั้งได้เป็นอย่างดี
นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านงบประมาณให้กับองค์กรที่ปัจจุบันส่วนใหญ่ประสบปัญหาต้นทุนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น
ในขณะที่วงจรผลิตภัณฑ์ที่สั้นลง การที่ธุรกิจใดจะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้คงไม่พ้นกับการที่จะต้องลดคุณภาพการบริการลง
แต่ถ้ามี Corporate Brand ที่ดีจะช่วยให้กิจกรรมการรณรงค์
ประชาสัมพันธ์ทางการตลาดของผลิตภัณฑ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงสามารถดำเนินการได้
ความสำเร็จของ Corporate Brand จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการจัดทำวิสัยทัศน์ระยะยาวขององค์กร
และเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อผลักดันการดำเนินงานให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้
รวมทั้งต้องเปลี่ยนความคิด ที่ว่า branding เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องเฉพาะทางด้านการตลาดเท่านั้นในความเป็นจริงยังรวมถึงความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้ลงทุน
สื่อต่างๆ คู่แข่งขัน และรัฐบาล
· CEO Branding เป็นการใช้ผู้บริหารบริษัทหรือผู้นำองค์กรเป็น Spokesperson ในการสื่อสารนำเสนอสาระทางธุรกิจ
และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร และผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น บริษัท Diva
Vacation จำกัด จำกัด
ได้เลือกใช้ CEO Branding ในการสร้างภาพลักษณ์ในการสร้างตราสินค้าให้เป็นที่จดจำแก่กลุ่มเป้าหมาย
เนื่องจาก 1 ใน ทีมผู้บริหาร คือ คุณ พิษณุ นิ่มสกุล
เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง และได้รับความรู้จักไว้วางใจ จากลูกค้าเป็นอย่างมาก
ดังนั้นองค์การจึงได้นำภาพลักษณ์ของ คุณ พิษณุ
นิ่มสกุลมาสร้างภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และองค์การ
เป็นการสร้างการตลาดที่ประหยัดงบประมาณ และได้ผลลัพธ์เร็วที่สุดในยุคที่สังคมออนไลน์มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
เพราะการเผยแพร่ข่าวสารทางออนไลน์สามารถกระจายไปทั่วโลก
อีกทั้งไม่เสียค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์อีกด้วย และการที่ คุณ พิษณุ นิ่มสกุล
เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงจะช่วยโน้มน้าวใจลูกค้าให้ ไว้ใจและตัดสินใจซื้อ
ช่วยกระตุ้นการรับรู้ของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
·
Live
Branding เป็นการนำแบรนด์มาใกล้กลุ่มเป้าหมายมากกว่าการใช้ Mass
Media แบบที่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ รูป รส กลิ่น
เสียง และสัมผัส ซึ่งเน้นการปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยเลือกเครื่องมือบางส่วนของ
Integrated Marketing Communication (IMC)
·
Emotional
Branding เป็นเรื่องของอารมณ์สำหรับเป็นจุดสร้างสินค้าและการบริการที่สามารถตอบสนองต่ออารมณ์ของผู้บริโภค
·
Co-Branding คือการร่วมมือกันของ 2 องค์กร
หรือมากกว่าในการทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างสรรค์ และรวมพลังทางการตลาดจากความเชี่ยวชาญเฉพาะ
เพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด
·
Re-branding
· Digital
Branding เป็นการทำ Branding ผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
เช่น สื่อสังคม (Social Media)
3.4)
แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งส่วนตลาด กลุ่มเป้าหมาย และตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (STP
Marketing)STP Marketing หมายถึง
การพยายามวางจุดยืนหรือวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ให้เฉพาะกลุ่มของลูกค้าในส่วนที่ธุรกิจนับว่าเป็นหัวใจของการตลาดสมัยใหม่
เรียกว่า การตลาดที่มุ่งตลาดเป้าหมาย
· S หมายถึง การแบ่งส่วนตลาด (Segmentation) การแยกตลาดแต่ละส่วนซึ่งแตกต่างกันออกจากตลาดใหญ่
หรือการกำหนดและวางโครงร่างกลุ่มผู้ซื้อที่มีความโดดเด่น
อันเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่อาจต้องการผลิตภัณฑ์
หรือส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น บริษัท Grazie Travel
จำกัด มีการกำหนด Segmentation คือกลุ่มลูกค้าคนไทยที่ต้องการ
และชื่นชอบท่องเที่ยวในทวีปยุโรป
· T หมายถึง การกำหนดตลาดเป้าหมาย (Targeting) การประเมินและทำการเลือกส่วนตลาดที่จะเข้า
ซึ่งอาจเป็นเพียงบางส่วนหรือมากกว่าเป็นตลาดเป้าหมาย
เพื่อกำหนดกลยุทธ์หรือดำเนินธุรกิจต่อไป
ตัวอย่างเช่น บริษัท Grazie Travel จำกัด
มีการกำหนด Targeting คือ ลูกค้าที่มีรายได้สูง
อยู่ในระดับพรีเมี่ยม
·
P
หมายถึง การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Positioning) การสร้างและพยายามสื่อสารให้เห็นถึงผลประโยชน์เด่นที่สำคัญของผลิตภัณฑ์ในตลาด
เพื่อสร้างตำแหน่งทางการแข่งขันสำหรับผลิตภัณฑ์โดยสินค้าที่นำตอบสนองตามเป้าหมายที่เลือกไว้ต้องมีความแตกต่างเฉพาะที่เหมาะกับตลาดเป้าหมายนั้น
ตัวอย่างเช่น บริษัท Grazie Travel จำกัด มีการกำหนด
Position คือการให้บริการที่มากกว่าความคุ้นค่า
3.5)
แนวคิดกลยุทธ์การแข่งขันพื้นฐานของพอร์เตอร์(Porter’s Generic Competitive
Strategy) โดยแบ่งออกเป็น 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้ (นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย, 2558)
·
กลยุทธ์การเป็นผู้นำด้านต้นทุนต่ำในตลาดขนาดใหญ่
(Cost
Leadership) เน้นการผลิตและการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้มีต้นทุนต่ำซึ่งจะทำให้สามารถตั้งราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่งขันและทำให้ตลาดกว้างขึ้น
· กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง
(Differentiation) เป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ให้โดดเด่น แตกต่าง
หรือมีคุณค่าเหนือคู่แข่งขันซึ่งจะทำให้องค์การสามารถตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งขันได้
วัตถุประสงค์การตลาดภายใต้กลยุทธ์นี้จึงเกี่ยวกับคุณภาพ คุณค่า
และภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ขององค์การรวมทั้งกระตุ้นการรับรู้ของลูกค้า ตัวอย่างเช่น
บริษัท Grazie Travel จำกัด จึงเลือกใช้กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง
(Differentiation) เนื่องจาก
ทางบริษัทมีนโยบายในด้านการสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีคุณค่าเหนือกว่าคู่แข่ง
กล่าวคือองค์การต้องการสร้างผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวยุโรประดับพรีเมี่ยม
สำหรับนักท่องเที่ยวผู้มีรายได้สูง ให้เป็นยิ่งกว่าความคุ้มค่าสำหรับลูกค้า
นอกจากจะได้รับความสะดวกสบาย ความเพียบพร้อมตรงตามความต้องการของลูกค้า
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่บริษัทจัดให้ล้วนแล้วแต่มีคุณภาพ อีกทั้งในด้านของราคา
ทางบริษัทมีกลยุทธ์การตั้งราคาที่สูงกว่าบริษัทท่องเที่ยวยุโรปทั่วไป
นอกจากนี้ยังมีการบริหารประสบการณ์ที่เกินกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง
ทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ ซึ่งตัวแปรที่ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้
คือทีมงานพนักงานที่มีความสามารถ มีศักยภาพและประสบการณ์สูง
·
กลยุทธ์การมุ่งตลาดเฉพาะกลุ่ม (Focus or
Niche) เป็นการกำหนดตลาดเป้าหมายที่เฉพาะกลุ่ม
โดยองค์การศึกษาและเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเฉพาะกลุ่มอย่างชัดเจน
______________________________________________
บรรณานุกรม
ทยากร ชลคีรีพิทักษ์. ผู้บริหาร.
สัมภาษณ์, 18 กันยายน 2558
ธัญญลักษณ์ โชติถิรดา. ผู้บริหาร. สัมภาษณ์, 21 กันยายน 2558
นัทธพงศ์ ประจักษ์จิตร์, การจัดการเชิงกลยุทธ์และการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อเพิ่ม
ผลประกอบการในธุรกิจผลิตจำหน่ายยา: กรณีศึกษาบริษัท ABC (ประเทศ
ไทย) จำกัด. สาขาวิชาการตลาด มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, 2552
นุชนารถ รัตนสุวงศ์ชัย. 2557.การจัดการธุรกิจนำเที่ยว. กรุงเทพ: ภาควิชาศิลปาชีพ คณะ มนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปุณฑริกา แก้วเจียมวงศ์, กลยุทธ์ทางการตลาดของร้านโชห่วยในเขตอำเภอเมือง
เพชรบูรณ์. คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์, 2551
พัลลภ วงศ์สุวรรณ. ผู้บริหาร. สัมภาษณ์, 21 กันยายน 2558
โพสต์ทูเดย์.
2558. บินไทยเลื่อนปิดเส้นทาง กทม-โรม เป็น ก.พ. ปี 59.
[ออนไลน์]. สามารถเข้าถึง ได้จาก
http://www.posttoday.com/biz/news/381424 วันที่เข้าถึง 12 ตุลาคม 2558
สถานการณ์การท่องเที่ยว ตลาดต่างประเทศ ไตรมาสที่ 1
ปี 2557. [ออนไลน์]. สามาถเข้าถึงได้จาก http://www.etatjournal.com/web/menu-read-web-etatjournal?catid=0&id=607
วันที่เข้าถึง 26 พฤศจิกายน 2558
สำนักพัฒนาการท่องเที่ยว. 2558. ฐานข้อมูลธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์สำนักงานทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์กลางข้อมูล.
[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://122.155.9.59:8081/stm4/NewReport/report509.jsp วันที่เข้าถึง 26 พฤศจิกายน 2558
ศูนย์วิจัยกสิกร. 2556. ญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวไทย : คาดกระตุ้นตลาดทัวร์ญี่ปุ่นของไทยปี’56...โตเกือบร้อยละ 50. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://tourisminvest.tat.or.th/ วันที่เข้าถึง 26 พฤศจิกายน 2558
อดุลย์ จาตุรงคกุล. 2544. กลยุทธ์การตลาด.กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น